บทความ

รูปแบบการใช้งานเครื่องสแกนลายนิ้วมือกรณีมีหลายสาขา

เราหันมาพูดถึงเรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่าย ราคากันบ้าง หากต้องการใช้งานเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้าต่างสาขา สมมติว่ามีสาขาทั้งหมด 7 ที ต้องการติดตั้งเครื่องสแกนลายนิ้วมือและเครื่องสแกนใบหน้าทั้งหมดโดยให้สำนักงานใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการคำนวณเวลาของพนักงานทุกสาขา คำถามคือเราสามารถนำเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้ามาใช้ได้กี่รูปแบบ แต่ละรูปแบบมีค่าใช้จ่ายยังไง หากต้องการแบบที่สะดวกสุดง่ายสุดจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หรือหากต้องการประหยัดงบอยากได้แบบที่ถูกสุดประหยัดงบได้มากที่สุดพอจะมีหรือไม่? ข้อดี ข้อเสีย ความแตกต่างของแต่ละแบบคืออะไร? ม๊ะ แอดมินจะขยายความให้ได้ทราบกัน!

หากติดตามบทความของเราจะพบว่าแอดมินเขียนเรื่องราวของการใช้งานเครื่องสแกนลายนิ้วมือและเครื่องสแกนใบหน้าสำหรับองค์กรที่มีสาขาเยอะมาก ซึ่งพอสรุปได้ว่าการใช้งานกับสาขานั้นมีให้เลือก 3 แบบคือ (1) ใช้วิธีส่ง text file ด้วย email (2) ให้สำนักงานใหญ่ remote เข้าไปที่สาขาเพื่อดึงข้อมูลจากเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้า (3) สำนักงานใหญ่สามารถดึงข้อมูลจากเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้าผ่านระบบออนไลน์ได้เลย สาขาไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น! แต่ละแบบก็จะมีประโยชน์และค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน เรามาเริ่มกันเลยกับแบบที่ 1

แบบที่ 1 ใช้วิธีส่ง text file ไปสำนักงานใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ประจำสาขาจะต้องเป็นผู้ดึงข้อมูลจากเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้าด้วย usb flash drive จากสาขานั้นๆ ส่งเมล์ไปให้สำนักงานใหญ่ เมื่อสำนักงานใหญ่ได้รับข้อมูลก็สามารถนำ text file ที่ได้รับเข้าสู่โปรแกรม premium time ได้เลยที่เมนูนำเข้า usb วิธีนี้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพียงแค่ซื้อเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้ามาก็เป็นอันเรียบร้อย ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นใดเพิ่มเติม.. อ้อ นอกจากเราจะใช้บริการติดตั้งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในส่วนนี้..

แบบที่ 2 ใช้วิธี remote ดึงข้อมูล หมายความว่าสำนักงานใหญ่จะต้องรีโมทเข้าไปที่คอมพิวเตอร์สาขา ซึ่งคอมพิวเตอร์ตัวนั้นก็จะต้องมีโปรแกรม premium time และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้าได้ เมื่อสำนักงานใหญ่ต้องการข้อมูลก็ให้รีโมทเข้ามาที่คอมพิวเตอร์สาขาเครื่องดังกล่าวแล้วทำการดึงข้อมูลจากเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้าเข้าสู่โปรแกรม premium time ที่สาขาจากนั้นจึงส่งข้อมูลไปสำนักงานใหญ่อีกที.. วิธีนี้อาจดูยุ่งยากและซับซ้อนไปสักหน่อยแต่สำนักงานใหญ่สามารถจัดการข้อมูลได้เอง ไม่ต้องรอให้สาขาส่งข้อมูลมาให้.. ในส่วนค่าใช้จ่ายก็ประมาณเดียวกันกับแบบที่ 1 แต่หากใช้วิธีนี้แนะนำว่าให้ซื้อบริการติดตั้งไปด้วย เพราะทางช่างจะดำเนินการตั้งค่าการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้ากับคอมพิวเตอร์ที่สาขาไว้ให้ หลังจากนั้นสำนักงานใหญ่สามารถรีโมทเข้ามาดึงข้อมูลได้เลย

แบบที่ 3 ดึงข้อมูลแบบออนไลน์ วิธีนี้ได้รับความนิยมสูงสุด ง่ายสุด สะดวกและรวดเร็วสุดเพราะสำนักงานใหญ่สามารถบริหารจัดการข้อมูลในตัวเครื่องสแกนลายนิ้วมือและเครื่องสแกนใบหน้าได้เอง โดยไม่ต้องให้สาขาดำเนินการใดๆ จะลบข้อมูลพนักงาน ดาวน์โหลดข้อมูล อัพโหลดข้อมูลก็สามารถจัดการได้ที่สำนักงานใหญ่เลย แต่ก็มีเงือนไขว่าสาขาจะต้องมีเร้าเตอร์โมเด็มที่สามารถเข้าไปจัดการได้ มี user มี password เพราะหาเราไม่สามารถเข้าไปจัดการตั้งค่าในเร้าเตอร์โมเด็มได้ ก็จะไม่สามารถใช้งานระบบ online ได้เช่นกัน ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้งานแบบนี้ปกติแล้วจะมี (1) ค่าเครื่องสแกนลายนิ้วมือหรือเครื่องสแกนใบหน้ารุ่นที่เลือก (2) ค่าติดตั้งและสอนการใช้งาน (3) ค่า host เพื่อเชื่อมต่อระบบให้เป็นแบบ online โดยค่า host นี้จะเป็นค่าเช่ารายปี

งบประมาณจะมากหรือจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแบบไหน หากเอาแบบง่ายๆ ราคาเบาๆ ก็อาจเลือกแบบให้สาขาส่ง text file ไปทางอีเมล์ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หากต้องการให้สำนักงานใหญ่บริหารจัดการได้เอง ระบบ online ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน
www.charoentech.com